ตามหาต้นตำหรับแหนมเนืองที่ฮานอย

ตอนที่ผมเดินทางท่องเที่ยวมาถึงหลวงพระบาง ได้ไปชิมแหนมเนืองลาว ร้านวิซุน ตอนไปชิมที่นั่นผมกล่าวไว้ว่า “แหนมเนืองร้านวิชุนดูจากป้ายภาษาลาวเขาเขียนว่า “แนมเนือง” ไม่มี ห. แต่พอมาถึงไทยก็มี ห.หีบเข้าไป เรื่องของภาษาไม่ว่ากันมันเพี้ยนกันไปมาได้ (บางอย่างไม่เพี้ยนเช่น แมว ทั้งไทย ลาว เวียด ต่างพร้อมใจกันเรียกแมว) แหนมเนืองร้านวิชุนมีเครื่องเคียงแบบไทย แต่ที่เห็นเพิ่มขึ้นมาคือปอเปี๊ยะทอด อย่างอื่นเหมือนกันหมด มีกล้วยดิบ กระเทียม พริกขี้หนู หมูก้อนทอดหรือนึ่ง มีขนมจีนด้วย แหนมเนืองร้านวิชุนรสชาตอร่อยแบบของไทยกินไม่ต่างกัน ทั้งน้ำจิ้มและวิธีการกินก็ห่อแผ่นแป้งบางๆกินเหมือนกัน”

มาวันนี้เดินทางมาถึงฮานอย ต้องสืบให้ได้เลยว่าต้นตอที่แท้จริงของแหนมเนืองเวียดนามเป็นมาอย่างไร การเที่ยวเวียดนามมีปัญหาอย่างหนึ่งที่ผมพบคือ การสื่อสารของเรากับชาวเวียดนามนั้นลำบากครับ คนเวียดนามไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกันเลย แม้แต่ร้านอาหารก็ไม่พูดภาษาอังกฤษ อย่างร้านที่ผมไปกินวันนี้ เป็นร้านยอดนิยมของชาวเวียดนาม ที่หน้าตาของอาหารจานนี้คล้ายๆแหนมเนื่องบ้านเรา

ผมได้ไปรู้เพิ่มเติมมาว่า ที่ผมไปเจอเขาเขียนแนมเนือง ที่หลวงพระบางน่ะถูกแล้ว จริงๆต้องเขียนแบบนั้น ไม่มี ห. แนมแปลว่า หมูหมัก เนื่องแปลว่าปิ้งย่าง แนมเนืองคือหมูหมักนำไปปิ้งหรือย่าง เวลากินเอามากินกับผักต่างๆ

ที่เวียดนามร้านที่ผมไปกินก็มีหมูปรุงรสแล้วนำเอาไปปิ้ง เสร็จแล้วนำมาใส่ในน้ำซุปใสๆ รสออกหวานๆหน่อยๆ แล้วจะมีปอเปรี๊ยะทอดเหมือนที่เจอที่ลาวเลยครับ แต่ที่นี่เขาจะไม่มีแป้งห่อ เขาจะใช้ผักห่อแทน นอกจากกินกับผักสดๆ เขาก็ยังมีผักดองด้วย มีขนมจีนหรือข้าวปุ้นขาวๆ แกล้มเวลากิน โดยส่วนตัวผมรู้สึกชอบเจ้าหมูหมักนะ มันอร่อยหอม นึกแล้วอยากจะไปกินอีกครั้ง

ผมเข้าใจว่าดั้งเดิมแหนมเนืองน่าจะเป็นแบบนี้ แต่ตอนที่คนเวียดนามนำมาทำกินที่ลาวอาจหาผักใช้ห่อไม่ครบ จึงดัดแปลงน้ำแป้งมาห่อแทน และถูกนำมาประเทศไทยก็เป็นแป้งห่อไปแล้ว เท่าที่รู้แหนมเนืองถูกนำเข้าไทยครั้งแรกหลายสิบปีก่อนที่จังหวัดอุดร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเวียงจันทน์มากนัก ทุกวันนี้แหนมเนืองดังไปทั่วประเทศไทย และรสชาดใหม่นี้ก็ติดอกติดใจคนไทยไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปกินแบบดั้งเดิมอีกต่อไป

เอาล่ะครับคงพอได้ทำความเข้าใจเรื่องแหนมเนืองกันเพิ่มขึ้นแล้วนะครับ เรามาเที่ยวเมืองฮานอยส่วนอื่นๆกันบ้าง ก่อนหน้าที่ผมจะไปกินแหนมเนืองในวันรุ่งขึ้นนั้น ผมมาถึงฮานอยตอนสองสามทุ่ม และได้ไปเดินเล่นตลาดลาดไนต์มาเก็ตของฮานอย ที่อยู่แถวๆถนนฮังดาว เส้นทางผ่านไปตลาดดงซวน ผมมีคลิปของถนนสายซ๊อปปิ้งให้ดูกันจุใจเลยครับ

อีกแหล่งหนึ่งที่หน่าเที่ยวคือ ตลาดดงซวน ตั้งอยู่สุดถนนฮังดาว ทางด้านเหนือของเขตเมืองเก่า ตลาดดงซวนเป็นอีกสถานที่ที่ไม่ควรพลาด ตามประวัติตลาดแห่งนี้โดนไฟไหม้ไปตั้งแต่ปี 1994 ทว่าได้มีการซ่อมแซมเพื่อช่วยให้เก็บรักษาบรรยากาศเก่าๆ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยตลาดแห่งนี้มีสินค้ามากมายให้เลือก ตั้งแต่บรรดาเครื่องจักรสาน พรมผืนเล็กๆ อาหาร เสื้อผ้า ของที่ระลึก จนถึงซีดี และดีวีดี และยังมีเหล้าไวน์ราคาถูกด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายดอกไม้ตามริมถนน ร้านขายยาแผนโบราณที่มีกลิ่นสมุนไพรเป็นเอกลักษณ์ ร้านขายยาดองมีสัตว์ต่างๆ อยู่ในขวดก็มีอยู่ให้ชิมกัน ทั้งเหล้าดองงู ดองตุ๊กแก ดองจิ้งจก

ตกกลางคืนด้านข้างตลาดจะเป็นร้านขายเหลาซึ่งเป็นเป้าหมายของผมที่ต้องมาชิมดู เหลาหรือ Hotpot ก็คือสุกี้แบบบ้านเรานั่นเอง เป็นหม้อไฟใส่ผัก เนื้อ หมู ไก่ ของทะเลลงไป มีน้ำจิ้มอร่อยๆให้ เหลาข้างตลาดดงซวนเป็นแหล่งที่นิยมมากของฮานอย และนักท่องเที่ยว ชาวเวียดนามเองวัยรุ่นหนุ่มสาวคนทำงานก็กินกันที่นี่ทั้งนั้น นั่งกินไปดูวิถีชีวิตของหนุ่มสาวสังคมเมืองเวียดนาม ดูคนเดินไปมาเพลินๆครับ

ต้องขอเตือนกันสักนิดเวลากินอาหารที่เวียดนามไม่ว่าจะร้านเหลาหรือร้านอื่นๆ ก่อนกินต้องถามราคาก่อนทุกครั้งไม่งั้นราคาคาดไม่ถึงแน่นอน อย่างเหลาเนี่ยเขาขายเป็น set เวลาพนักงานมาเสริฟจะเอานู้นเอานี่มาให้หลายอย่าง จริงๆแล้วคนกินก็คิดว่าอยู่ใน set หมด แต่ไม่ครับขอโทษ หลายอย่างไม่อยู่ใน set ต้องจ่ายเพิ่ม ดังนั้นต้องถามว่าอันนี้อยู่ใน set ไหม ซึ่งแน่นอนเขาไม่พูดอังกฤษ ไม่พูดไทย แต่พูดเวียดนาม ต้องใช้ภาษามือเอาหากพูดไม่เป็น

แหล่งท่องเที่ยวอีกที่ซึ่งเที่ยวได้ทั้งกลางวันและกลางคืนคือ ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าฮานอย สำหรับนักเดินทางที่มาเยือนฮานอย ซึ่งไม่ได้มากับบริษัททัวร์ส่วนใหญ่นิยมหาที่พักในบริเวณเมืองเก่า ที่เปรียบได้กับถนนข้าวสารของเมืองไทย เพราะมีเกสต์เอาส์และโรงแรมราคาประหยัดมากมาย มีเอเย่นต์ทัวร์สำหรับเลือกซื้อแพ็คเก็จทัวร์หรือตั๋วเดินทางภายในประเทศทั้งทางรถบัส รถไฟ เครื่องบิน และยังมีร้านจำหน่ายอาหารประเภทพื้นเมืองและตะวันตกมากมาย และร้านขายของที่ระลึก

ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าครั้งอดีตพระเจ้าเลไทโต (Le Thai Yo) ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิงจนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบ อันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า ทะเลสาบคืนดาบ

หากมองไปกลางทะเลสาบจะเห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว (Thap Rua) ซึ่งหมายถึง หอคอยเต่าและในปัจจุบันยังมีหลายคนบอกว่าเห็นเต่าขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล
การมาเที่ยวเวียดนามของผมครั้งนี้เป็นการเตรียมความพร้อมครั้งแรกของผม เพื่อดูว่าต้องรู้อะไรเพิ่มเติมอีกบ้างถึงจะเก็บข้อมูลเวียดนามได้ครบภายใน 2 ปีนี้ ซึ่งผมคงไม่อยู่ที่นี่หลายเดือนในทริปแรก แต่ในครั้งถัดไปจะอยู่นานๆ เก็บข้อมูลให้ครบและลงในเว็บ www.hotsia.com แห่งนี้ สิ่งที่ผมได้กลับมาคือผมต้องรู้ภาษาเวียดนามเท่านั้น ถึงจะอยู่ที่นี่ได้ ผมกลับจากเวียดนามผมจะฝึกภาษาเวียดนามให้ได้ และจะกลับมาที่นี่อีกครั้งเมื่อพอได้ภาษาของเขา ….เร็วๆนี้ Mr.Hotsia มิ.ย. 53